วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"โน้ตบุ๊ก-เดสก์ท็อป"ปรับเพื่ออยู่-เปลี่ยนให้ต่าง







"โน้ตบุ๊ก-เดสก์ท็อป"ปรับเพื่ออยู่-เปลี่ยนให้ต่าง

ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่องทิศทางตลาดโน้ตบุ๊ก-เดส์ท็อป "เครื่องไฮบริด"คือทางรอดในอนาคต

ไอดีซี บริษัทวิจัยการตลาดทางด้านไอที คาดตลาดคอมพิวเตอร์เมืองไทยปีนี้จะมีปริมาณ 3.7 ล้านเครื่อง ทรงตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังจากปี 2555 โดนกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ มาปีนี้โดนแย่งกำลังซื้อจากรถคันแรก โดยตลาดรวมดังกล่าวแบ่งสัดส่วนเป็นโน้ตบุ๊กประมาณ 2.4 ล้านเครื่อง กับเดสก์ท็อปประมาณ 1.3 ล้านเครื่อง ถือว่าเป็นสัดส่วนตลาดที่ยังดี ท่ามกลางปัจจัยกระทบ คือ นโยบายรถคันแรกและแท็บเล็ตกับสมาร์ตโฟนที่มาแย่งส่วนแบ่งตลาดไป ทำให้ผู้ผลิตสินค้าไอทีจะมองสินค้าใดเป็นสินค้าหลักอย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป
แต่เดิมผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น เอเซอร์ เอชพี จะเป็นผู้กำหนดทิศทางของตลาด ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีเกิดขึ้นแกนเดียว เช่น เครื่องแรงขึ้น เบาขึ้น ราคาต่ำลง แต่ต่อไปจะต้องพัฒนาไปเป็นสินค้านวัตกรรมมากขึ้น
นิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดโน้ตบุ๊กจะเกิดเครื่องไฮบริดขึ้นแน่นอน โดยมีการทำงานพื้นฐาน คือ หน้าจอสัมผัส และตัวเครื่องเป็นอิสระมากขึ้น มีทั้งพับ ถอด ดึง หมุน สไลด์ สุดท้ายสินค้าแต่ละประเภทจะหาจุดยืนของตัวเอง
ทั้งนี้ เชื่อว่าปีนี้ไฮบริดจะมีสัดส่วนตลาดประมาณ 15% เพิ่มเป็น 30% ในปีหน้า และมากกว่า 50% ในปีถัดไป เท่ากับว่าเวลาของโน้ตบุ๊กแบบเดิมๆ จะเหลืออีกเพียง 3 ปีเท่านั้น จากนั้นจะกลายเป็นสินค้าส่วนน้อยของตลาด ขณะที่เดสก์ท็อปจะขยับไปสู่ความเป็นออลอินวัน ตลาดยังมีโอกาสสำหรับคนที่ใช้งานจอขนาดใหญ่และเป็นระบบสัมผัส
“แบรนด์ต่างๆ ต้องสื่อสารออกมาให้ชัดว่าผู้บริโภคสามารถใช้งานอย่างไรได้บ้าง และต้องไม่ผูกติดว่าแบรนด์ใดคือโน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟน แต่ต้องขยายตัวเองสู่ทุกสินค้า และงานวิจัยและพัฒนาจะมีบทบาทมากขึ้น แต่ละแบรนด์จะมีแนวทางของตัวเอง เช่น เน้นพับ เน้นสไลด์ หรือเน้นหมุน ลูกค้าอาจจะปวดหัวมากขึ้น แต่สุดท้ายจะได้แนวทางหลักของตลาด” นิธิพัทธ์ กล่าว
ส่วนของเอเซอร์เอง ตั้งแต่ไตรมาส 2 จะมีสินค้าที่ครบในทุกรูปแบบ ทั้งโน้ตบุ๊ก ไฮบริด และแท็บเล็ต ในทุกระดับราคา ซึ่งต้องรักษาตลาดหลักโน้ตบุ๊ก ตลาดใหม่ไฮบริด และตลาดการศึกษาแท็บเล็ต รวมถึงสมาร์ตโฟนที่ได้เริ่มทำตลาดอย่างจริงจังอีกรอบไปตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
หากพิจารณาในเชิงราคาแล้ว โน้ตบุ๊กธรรมดาที่ราคาต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาท จะยังเป็นสินค้าหลัก รองลงมาคือ โน้ตบุ๊กราคา 1.5–2 หมื่นบาท 2 ส่วนนี้รวมกันประมาณ 85% ของตลาด จากนั้นราคาตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไป จะเป็นกลุ่มอัลตราบุ๊ก และโน้ตบุ๊กที่เป็นฟรีฟอร์ม ราคาตั้งแต่ 2.5 หมื่นบาทขึ้นไป เป็นสัดส่วน 15% โดยเชื่อว่าเกมนี้ยังไม่มีรอยัลตี้ต่อแบรนด์ใดเป็นพิเศษ ผู้บริโภคพร้อมเปลี่ยนไปใช้แบรนด์ใดก็ตามที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด


ที่มา : โพสต์ทูเดย์

ภาพในบรรทัด 1

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น